
สเปรย์พริกไทย เป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวที่ได้รับความนิยมเพื่อการป้องกันตัวของผู้หญิงมาเป็นเวลานาน เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวที่หยุดคนร้ายได้จริง แต่ไม่ส่งผลแค่เพียงให้เกิดอาการไอจาม หรือแสบตา ลืมตาไม่ขึ้น โดยอาการทั้งหมดจะหายไปในเวลา ประมาณ 15-30 นาที ซึ่งจะไม่ส่งผลร้ายกับคนร้ายในระยะยาว แต่ก็เป็นระยะเวลาที่เพียงพอในการหนีเอาตัวรอด
โดยธรรมชาติของสเปรย์พริกไทย เป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวที่เหมาะกับการนำมาใช้ป้องกันตัวแบบตั้งรับ สำหรับคนร้ายที่จะนำสเปรย์พริกไทย มาใช้จู่โจมผู้อื่นนั้นยาก เนื่องจากผู้ฉีดจะต้องหนีไปอีกทาง หากจะวิ่งไล่ฉีดผู้อื่น คนร้ายก็จะโดนสเปรย์พริกไทยไอจามไป จึงไม่เหมาะกับการนำสเปรย์พริกไทย ไปทำร้ายผู้อื่นนั้น เป็นอย่างยิ่ง
จากเหตุผลดังกล่าว สเปรย์พริกไทย จึงเป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิง ปลอดภัยกว่าการใช้มีด หรือเครื่องช๊อตไฟฟ้า และหยุดคนร้ายทันที ดีกว่าอุปกรณ์ส่งเสียงดัง หรือสเปรย์สี แบบใดๆ
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเสียดาย ที่อุปกรณ์ป้องกันตัว ที่ชื่อว่า สเปรย์พริกไทย ในประเทศไทย กลับเป็นของผิดกฎหมาย ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง รายชื่อวัตถุอันตรายในความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 แก้ไขเพิ่มเติมตามประกาศ พ.ศ.2546 พ.ศ.2547 และ พ.ศ.2548 ในลำดับที่ 258 ได้ระบุไว้ว่า “ผลิตภัณฑ์ที่มีสารสำคัญที่ใช้เพื่อขัดขวางระบบการ ทำงานของร่างกายเป็นการชั่วคราวเพื่อการป้องกัน ตัวหรือทำร้ายผู้อื่น ” เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 4 โดย ห้ามมิให้ นำเข้า จำหน่าย พกพา สำหรับผู้ที่ฝ่าผืนมีโทษจำคุก 10 ปี หรือปรับ 1,000,000 บาท โดยทั้งนี้ คณะกรรมการอาหารและยา ติดความว่าหมายถึง สเปรย์พริกทุกชนิด (อ่านประกาศโดยตรง ของ อย. Click )
เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในการควบคุมวัตถุอันตราย คณะกรรมการอาหารและยา ให้เหตุผลในการควบคุมเข้มงวด เนื่องจากเกรงว่าจะมีการนำสเปรย์พริกไทยไปใช้ในทางที่ผิด
อย่างที่เราทราบกันดี ว่าสเปรย์พริกไทย เป็นสินค้าที่ขายกันทั่วไป ในประเทศไทยมาเป็นเวลานานกว่า 20 ปี โดยส่วนใหญ่เชื่อว่า ผู้จำหน่ายไม่ทราบว่ากำลังจำหน่ายของผิดกฎหมาย รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ไม่ทราบถึงข้อกฎหมายข้อนี้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วไป ก็พกพาสเปรย์พริกไทย เป็นอุปกรณ์ระงับเหตุเบื้องต้น โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายส่วนซื้อสเปรย์พริกไทยจากร้านค้าทั่วไป เหมือนกับประชาชน
จากการศึกษา ในคดีที่มีการกระทำผิดด้วยสเปรย์พริกไทย โดยฝีมือพลเรือน ในประเทศไทยนั้น มีเพียง 2 คดี เท่านั้น ซึ่งคดีเป็นการชิงทรัพย์ ที่เกิดขึ้นในปี 2550 ที่เกิดโดยผู้กระทำผิดคนเดียวกัน ชื่อนายชัยพิบูล หรือตุ้ย นาคถิน โดยได้ทรัพย์ครั้งแรกเป็นทอง ทอง 4 บาท ครั้งที่ 2 เป็นโทรศัพท์มือถือโนเกีย รุ่นเอ็น 72 (ที่ได้ทรัพย์สินไปเพียงครั้งละ 1 ชิ้น เข้าใจได้ว่า คนร้ายคงจะไอจามจากสเปรย์ของตัวเอง จึงไม่มีเวลาหยิบฉวยทรัพย์ได้มากนัก) และถูกจับได้แทบจะทันที หลังการก่อเหตุทั้ง 2 ครั้ง
ส่วน คดีข่มขืน จากสถิติ ของประเทศไทย ปีงบประมาณ 51(ต.ค.50-ก.ย.51) แจ้งความ 4,736 คดี จับกุมได้ 2,340 คน เฉลี่ยแล้วผู้หญิงไทยถูกข่มขืน ทุกๆ 2 ชั่วโมง แต่จากงานวิจัยประเมินว่าจริงๆ แล้ว มีผู้หญิงที่ถูกข่มขืนแล้วไม่มาแจ้งความ อีก 6 เท่า คือมีผู้หญิงที่ถูกข่มขืนทั้งหมดประมาณปีละ 33,000 คน
ในขณะที่ผู้รักษาความสงบของบ้านเมื่อคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่มีกำลังเพียงพอในการรักษาความสงบได้ทั้งหมดแล้ว ผู้หญิงไทย ซึ่งตกเป็นเหยื่ออยู่ทุกวัน ก็ไม่มีสิทธิ์ในการพกพา สเปรย์พริกไทย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวสำหรับผู้หญิงที่ดีที่สุด แล้วจะให้ผู้หญิงไทยป้องกันตัวด้วยอะไร
โดยธรรมชาติของสเปรย์พริกไทย เป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวที่เหมาะกับการนำมาใช้ป้องกันตัวแบบตั้งรับ สำหรับคนร้ายที่จะนำสเปรย์พริกไทย มาใช้จู่โจมผู้อื่นนั้นยาก เนื่องจากผู้ฉีดจะต้องหนีไปอีกทาง หากจะวิ่งไล่ฉีดผู้อื่น คนร้ายก็จะโดนสเปรย์พริกไทยไอจามไป จึงไม่เหมาะกับการนำสเปรย์พริกไทย ไปทำร้ายผู้อื่นนั้น เป็นอย่างยิ่ง
จากเหตุผลดังกล่าว สเปรย์พริกไทย จึงเป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิง ปลอดภัยกว่าการใช้มีด หรือเครื่องช๊อตไฟฟ้า และหยุดคนร้ายทันที ดีกว่าอุปกรณ์ส่งเสียงดัง หรือสเปรย์สี แบบใดๆ
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเสียดาย ที่อุปกรณ์ป้องกันตัว ที่ชื่อว่า สเปรย์พริกไทย ในประเทศไทย กลับเป็นของผิดกฎหมาย ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง รายชื่อวัตถุอันตรายในความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 แก้ไขเพิ่มเติมตามประกาศ พ.ศ.2546 พ.ศ.2547 และ พ.ศ.2548 ในลำดับที่ 258 ได้ระบุไว้ว่า “ผลิตภัณฑ์ที่มีสารสำคัญที่ใช้เพื่อขัดขวางระบบการ ทำงานของร่างกายเป็นการชั่วคราวเพื่อการป้องกัน ตัวหรือทำร้ายผู้อื่น ” เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 4 โดย ห้ามมิให้ นำเข้า จำหน่าย พกพา สำหรับผู้ที่ฝ่าผืนมีโทษจำคุก 10 ปี หรือปรับ 1,000,000 บาท โดยทั้งนี้ คณะกรรมการอาหารและยา ติดความว่าหมายถึง สเปรย์พริกทุกชนิด (อ่านประกาศโดยตรง ของ อย. Click )
เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในการควบคุมวัตถุอันตราย คณะกรรมการอาหารและยา ให้เหตุผลในการควบคุมเข้มงวด เนื่องจากเกรงว่าจะมีการนำสเปรย์พริกไทยไปใช้ในทางที่ผิด
อย่างที่เราทราบกันดี ว่าสเปรย์พริกไทย เป็นสินค้าที่ขายกันทั่วไป ในประเทศไทยมาเป็นเวลานานกว่า 20 ปี โดยส่วนใหญ่เชื่อว่า ผู้จำหน่ายไม่ทราบว่ากำลังจำหน่ายของผิดกฎหมาย รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ไม่ทราบถึงข้อกฎหมายข้อนี้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วไป ก็พกพาสเปรย์พริกไทย เป็นอุปกรณ์ระงับเหตุเบื้องต้น โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายส่วนซื้อสเปรย์พริกไทยจากร้านค้าทั่วไป เหมือนกับประชาชน
จากการศึกษา ในคดีที่มีการกระทำผิดด้วยสเปรย์พริกไทย โดยฝีมือพลเรือน ในประเทศไทยนั้น มีเพียง 2 คดี เท่านั้น ซึ่งคดีเป็นการชิงทรัพย์ ที่เกิดขึ้นในปี 2550 ที่เกิดโดยผู้กระทำผิดคนเดียวกัน ชื่อนายชัยพิบูล หรือตุ้ย นาคถิน โดยได้ทรัพย์ครั้งแรกเป็นทอง ทอง 4 บาท ครั้งที่ 2 เป็นโทรศัพท์มือถือโนเกีย รุ่นเอ็น 72 (ที่ได้ทรัพย์สินไปเพียงครั้งละ 1 ชิ้น เข้าใจได้ว่า คนร้ายคงจะไอจามจากสเปรย์ของตัวเอง จึงไม่มีเวลาหยิบฉวยทรัพย์ได้มากนัก) และถูกจับได้แทบจะทันที หลังการก่อเหตุทั้ง 2 ครั้ง
ส่วน คดีข่มขืน จากสถิติ ของประเทศไทย ปีงบประมาณ 51(ต.ค.50-ก.ย.51) แจ้งความ 4,736 คดี จับกุมได้ 2,340 คน เฉลี่ยแล้วผู้หญิงไทยถูกข่มขืน ทุกๆ 2 ชั่วโมง แต่จากงานวิจัยประเมินว่าจริงๆ แล้ว มีผู้หญิงที่ถูกข่มขืนแล้วไม่มาแจ้งความ อีก 6 เท่า คือมีผู้หญิงที่ถูกข่มขืนทั้งหมดประมาณปีละ 33,000 คน
ในขณะที่ผู้รักษาความสงบของบ้านเมื่อคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่มีกำลังเพียงพอในการรักษาความสงบได้ทั้งหมดแล้ว ผู้หญิงไทย ซึ่งตกเป็นเหยื่ออยู่ทุกวัน ก็ไม่มีสิทธิ์ในการพกพา สเปรย์พริกไทย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวสำหรับผู้หญิงที่ดีที่สุด แล้วจะให้ผู้หญิงไทยป้องกันตัวด้วยอะไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น