
คมชัดลึก : ด้วยข่าวการลักวิ่งชิงปล้นที่เกิดกับร้านสะดวกซื้อแทบทุกเมื่อเชื่อวัน ทำเอาสาวมินิมาร์ทต้องแสวงหาหนทางป้องกันตัว ที่เอาตัวไม่รอดตกเป็นเหยื่อก็หลายราย ที่ฮึดสู้จนคนร้ายเปิดเปิงไปก็มีให้เห็น อย่างเช่นรายล่าสุดใช้สเปรย์พริกไทยพ่นใส่หน้า จนลงไปดิ้นเฮือกๆ กับพื้นร้องทุรนทุรายอย่างน่าเวทนา !?!
วันที่ 10 สิงหาคม 2552 ภายในร้านสะดวกซื้อชื่อดังสาขาเจ้าพระยา 13 ปากซอยสมเด็จเจ้าพระยา 13 แขวงและเขตคลองสาน กรุงเทพฯ ฝั่งตรงข้ามสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา "หนึ่ง แซ่เฮ้ง" ผู้จัดการสาขาวัย 32 ปี กำลังนั่งทำบัญชีและนับเหรียญอยู่หลังเคาน์เตอร์ ปล่อยให้ "ดอกรัก ชาญณรงค์" ผู้ช่วยผู้จัดการสาขาทำหน้าที่พนักงานแคชเชียร์ ส่วนพนักงานชายอีกคนกำลังอยู่ในห้องเก็บของ จู่ๆ หนึ่งก็ได้ยินเสียงผู้ชายบอกให้ส่งเงินมาให้หมด เนื่องจากเธอหันหลังให้เคาน์เตอร์เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง กระทั่งได้ยินเสียงเลยหันกลับไปมอง
ภาพที่หนึ่งเห็นคือ ชายมีอายุคนหนึ่งยืนถือมีดปอกผลไม้ยาวราวๆ 6 นิ้ว เห็นจะได้ พยายามใช้มีดเคาะลงบนเคาน์เตอร์หลายครั้ง ปากก็ตะโกนออกคำสั่งให้ส่งเงินมาให้หมดเร็วๆ ท่ามกลางเหตุวิกฤติดอกรักยืนตะลึงงัน ส่วนหนึ่งเองก็พยายามตั้งสติรวบรวมสมาธิ กระทั่งนึกขึ้นได้ว่าใต้เคาน์เตอร์มีกระป๋องสเปรย์พริกไทยอยู่ รอโอกาสช่วงคนร้ายเผลอจึงหยิบขึ้นมาฉีดใส่หน้าเกือบหมดขวด !?!
สเปรย์พริกไทยที่เข้าหน้าเข้าตาชนิดเต็มๆ ทำเอาคนร้ายถึงกับทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส มีดที่ถืออยู่หลุดจากมือ ล้มตัวลงชักดิ้นชักงอ นั่นเปิดโอกาสให้สองสาวมินิมาร์ทวิ่งไปหลบหลังร้าน เป็นเวลาเดียวกับพนักงานชายกำลังจะออกมาด้านนอก ทั้งสองทั้งผลักทั้งดันให้เข้าไปในห้องเก็บของแล้วปิดล็อก ก่อนจะกดโทรศัพท์เรียก 191 แจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายให้ทราบ ระหว่างนี้ก็มองผ่านกระจกบานเล็กๆ ออกไปเห็นภาพคนร้ายนอนร้องครวญคราง สองมือปิดหน้าคร่ำครวญไม่หยุดปาก ส่วนมีดตกอยู่ไกลออกไป และนั่นคือโอกาสที่สองให้พนักงานทั้งสามคว้าไม้กวาด ม็อบถูพื้น ออกมาล้อมคนร้ายเอาไว้
สเปรย์พริกไทยที่เข้าหน้าเข้าตาชนิดเต็มๆ ทำเอาคนร้ายถึงกับทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส มีดที่ถืออยู่หลุดจากมือ ล้มตัวลงชักดิ้นชักงอ นั่นเปิดโอกาสให้สองสาวมินิมาร์ทวิ่งไปหลบหลังร้าน เป็นเวลาเดียวกับพนักงานชายกำลังจะออกมาด้านนอก ทั้งสองทั้งผลักทั้งดันให้เข้าไปในห้องเก็บของแล้วปิดล็อก ก่อนจะกดโทรศัพท์เรียก 191 แจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายให้ทราบ ระหว่างนี้ก็มองผ่านกระจกบานเล็กๆ ออกไปเห็นภาพคนร้ายนอนร้องครวญคราง สองมือปิดหน้าคร่ำครวญไม่หยุดปาก ส่วนมีดตกอยู่ไกลออกไป และนั่นคือโอกาสที่สองให้พนักงานทั้งสามคว้าไม้กวาด ม็อบถูพื้น ออกมาล้อมคนร้ายเอาไว้
สำหรับสเปรย์พริกไทยกระป๋องนี้ ผู้จัดการหนึ่งไปขอซื้อต่อจากตำรวจเมื่อ 4 ปีก่อนในราคา 800 บาท เป็นของที่ใช้สำหรับงานปราบจลาจล เนื่องจากมองว่าใช้ง่าย กลไกไม่สลับซับซ้อน ส่วนสาเหตุเกิดจากเมื่อไม่นานมานี้ ร้านสะดวกซื้อแบรนด์เดียวกับเธอสาขาปากซอยสมเด็จเจ้าพระยา 11 เคยถูกคนร้ายจี้ชิงทรัพย์มาแล้วสองครั้งสองครา ตำรวจยังตามจับคนร้ายมาดำเนินคดีไม่ได้ ในใจก็คิดว่าหากวันหนึ่งวันใดข้างหน้าตกอยู่ในสภาพถูกจี้ปล้นจะทำอย่างไร เพราะในร้านไม่มีอาวุธอื่นใดยกเว้นมีดหั่นไส้กรอกเพียงด้ามเดียว จะใช้มีดก็กลัวถูกแย่ง กลัวถูกแทง แถมยังผิดกฎหมายด้วย ครั้นจะซื้อเครื่องช็อตไฟฟ้าก็น่าจะผิดกฎหมายอีก คิดจะหาซื้อสัญญาณไซเรนเสียงดังมากๆ ก็ไม่มีขาย ท้ายที่สุดจึงมาลงตัวที่สเปรย์พริกไทย
"คุณว่าคุ้มไหมกับการถูกชิงทรัพย์แล้วไม่มีอะไรป้องกัน" หนึ่งตั้งคำถามขึ้นมาลอยๆ
อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยกับนักกฎหมายถึงกรณีลักษณะนี้ต่างให้ความเห็นไปในทำนองที่ว่า การกระทำผิดตามกฎหมายนั้น จะดูเจตนาเป็นสำคัญ กรณีนี้ก็เช่นกันหากเป็นไปเพื่อป้องกันตนเองด้วยเพียงพอแก่เหตุก็ไม่ถือว่ามีความผิด !?!
อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยกับนักกฎหมายถึงกรณีลักษณะนี้ต่างให้ความเห็นไปในทำนองที่ว่า การกระทำผิดตามกฎหมายนั้น จะดูเจตนาเป็นสำคัญ กรณีนี้ก็เช่นกันหากเป็นไปเพื่อป้องกันตนเองด้วยเพียงพอแก่เหตุก็ไม่ถือว่ามีความผิด !?!
ฉะนั้นสาวสะดวกซื้อสบายใจได้ แต่ก็อย่าไปขวนขวายหาอาวุธหนักมาป้องกันตัว จนเพลี่ยงพล้ำเป็นเหยื่อโจรและกฎหมายเสียเล่า !?!
ถ้าเราจะรอแต่ให้เจ้าหน้าที่มาดูแลคงจะไม่ทั่วถึง
ตอบลบเราควรหาอุปกรณ์ป้องกันตัวเองก่อนดีกว่า