วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สเปรย์พริกผิดกฎหมายหรือไม่


สเปรย์พริกไทย เป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวที่ได้รับความนิยมเพื่อการป้องกันตัวของผู้หญิงมาเป็นเวลานาน เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวที่หยุดคนร้ายได้จริง แต่ไม่ส่งผลแค่เพียงให้เกิดอาการไอจาม หรือแสบตา ลืมตาไม่ขึ้น โดยอาการทั้งหมดจะหายไปในเวลา ประมาณ 15-30 นาที ซึ่งจะไม่ส่งผลร้ายกับคนร้ายในระยะยาว แต่ก็เป็นระยะเวลาที่เพียงพอในการหนีเอาตัวรอด
โดยธรรมชาติของสเปรย์พริกไทย เป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวที่เหมาะกับการนำมาใช้ป้องกันตัวแบบตั้งรับ สำหรับคนร้ายที่จะนำสเปรย์พริกไทย มาใช้จู่โจมผู้อื่นนั้นยาก เนื่องจากผู้ฉีดจะต้องหนีไปอีกทาง หากจะวิ่งไล่ฉีดผู้อื่น คนร้ายก็จะโดนสเปรย์พริกไทยไอจามไป จึงไม่เหมาะกับการนำสเปรย์พริกไทย ไปทำร้ายผู้อื่นนั้น เป็นอย่างยิ่ง

จากเหตุผลดังกล่าว สเปรย์พริกไทย จึงเป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวที่ดีที่สุดสำหรับผู้หญิง ปลอดภัยกว่าการใช้มีด หรือเครื่องช๊อตไฟฟ้า และหยุดคนร้ายทันที ดีกว่าอุปกรณ์ส่งเสียงดัง หรือสเปรย์สี แบบใดๆ
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าเสียดาย ที่อุปกรณ์ป้องกันตัว ที่ชื่อว่า สเปรย์พริกไทย ในประเทศไทย กลับเป็นของผิดกฎหมาย ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง รายชื่อวัตถุอันตรายในความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ลงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2538 แก้ไขเพิ่มเติมตามประกาศ พ.ศ.2546 พ.ศ.2547 และ พ.ศ.2548 ในลำดับที่ 258 ได้ระบุไว้ว่า “ผลิตภัณฑ์ที่มีสารสำคัญที่ใช้เพื่อขัดขวางระบบการ ทำงานของร่างกายเป็นการชั่วคราวเพื่อการป้องกัน ตัวหรือทำร้ายผู้อื่น ” เป็นวัตถุอันตรายประเภทที่ 4 โดย ห้ามมิให้ นำเข้า จำหน่าย พกพา สำหรับผู้ที่ฝ่าผืนมีโทษจำคุก 10 ปี หรือปรับ 1,000,000 บาท โดยทั้งนี้ คณะกรรมการอาหารและยา ติดความว่าหมายถึง สเปรย์พริกทุกชนิด (อ่านประกาศโดยตรง ของ อย. Click )

เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในการควบคุมวัตถุอันตราย คณะกรรมการอาหารและยา ให้เหตุผลในการควบคุมเข้มงวด เนื่องจากเกรงว่าจะมีการนำสเปรย์พริกไทยไปใช้ในทางที่ผิด
อย่างที่เราทราบกันดี ว่าสเปรย์พริกไทย เป็นสินค้าที่ขายกันทั่วไป ในประเทศไทยมาเป็นเวลานานกว่า 20 ปี โดยส่วนใหญ่เชื่อว่า ผู้จำหน่ายไม่ทราบว่ากำลังจำหน่ายของผิดกฎหมาย รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ไม่ทราบถึงข้อกฎหมายข้อนี้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วไป ก็พกพาสเปรย์พริกไทย เป็นอุปกรณ์ระงับเหตุเบื้องต้น โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายส่วนซื้อสเปรย์พริกไทยจากร้านค้าทั่วไป เหมือนกับประชาชน

จากการศึกษา ในคดีที่มีการกระทำผิดด้วยสเปรย์พริกไทย โดยฝีมือพลเรือน ในประเทศไทยนั้น มีเพียง 2 คดี เท่านั้น ซึ่งคดีเป็นการชิงทรัพย์ ที่เกิดขึ้นในปี 2550 ที่เกิดโดยผู้กระทำผิดคนเดียวกัน ชื่อนายชัยพิบูล หรือตุ้ย นาคถิน โดยได้ทรัพย์ครั้งแรกเป็นทอง ทอง 4 บาท ครั้งที่ 2 เป็นโทรศัพท์มือถือโนเกีย รุ่นเอ็น 72 (ที่ได้ทรัพย์สินไปเพียงครั้งละ 1 ชิ้น เข้าใจได้ว่า คนร้ายคงจะไอจามจากสเปรย์ของตัวเอง จึงไม่มีเวลาหยิบฉวยทรัพย์ได้มากนัก) และถูกจับได้แทบจะทันที หลังการก่อเหตุทั้ง 2 ครั้ง

ส่วน คดีข่มขืน จากสถิติ ของประเทศไทย ปีงบประมาณ 51(ต.ค.50-ก.ย.51) แจ้งความ 4,736 คดี จับกุมได้ 2,340 คน เฉลี่ยแล้วผู้หญิงไทยถูกข่มขืน ทุกๆ 2 ชั่วโมง แต่จากงานวิจัยประเมินว่าจริงๆ แล้ว มีผู้หญิงที่ถูกข่มขืนแล้วไม่มาแจ้งความ อีก 6 เท่า คือมีผู้หญิงที่ถูกข่มขืนทั้งหมดประมาณปีละ 33,000 คน
ในขณะที่ผู้รักษาความสงบของบ้านเมื่อคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่มีกำลังเพียงพอในการรักษาความสงบได้ทั้งหมดแล้ว ผู้หญิงไทย ซึ่งตกเป็นเหยื่ออยู่ทุกวัน ก็ไม่มีสิทธิ์ในการพกพา สเปรย์พริกไทย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวสำหรับผู้หญิงที่ดีที่สุด แล้วจะให้ผู้หญิงไทยป้องกันตัวด้วยอะไร

สเปรย์พริก คืออะไร


สเปรย์พริก หรือ สเปรย์พริกไทย (รู้จักในชื่อ OC spray(มาจาก “Oleoresin Capsicum” (น้ำมันจำพวกพริก)), OC gas, capsicum spray( สเปรย์พริก ), or oleoresin capsicum) เป็นสารทำให้น้ำตาไหล (สารเคมีที่ทำให้ตาระคายเคือง น้ำตาไหล เจ็บปวด ตาบอดชั่วคราว) ใช้เพื่อควบคุมการจราจล ฝูงชน และการป้องกันตัวเอง อันประกอบด้วยการป้องกันตัวจากหมีและหมา โดยสเปรย์พริก ไม่เป็นสารที่ทำให้ตายได้ สารที่ทำหน้าที่ใน สเปรย์พริก คือ capsaicin
“ สเปรย์พริกไทย จริงๆ แล้ว ต้องเรียกว่า สเปรย์พริก เฉยๆ ถึงจะถูกครับ เพราะสารสกัดมาจากพริก ไม่ได้มาจาก พริกไทย แต่อย่างไร ”
ระบบHPLC (High Performance Liquid Chromatography) ได้ถูกใช้เพื่อใช้วัดปริมาณ capsaicin ใน สเปรยพริก ส่วน Scoville Heat Units (SHU) ถูกใช้เพื่อวัดความเผ็ดร้อนของ สเปรยพริก
สารสังเคราะห์ของcapsaicin, pelargonic acid vanillylamide (desmethyldihydrocapsaicin) ถูกใช้ในอีกรูปแบบหนึ่งของ สเปรยพริก โดยรู้จัดในสเปรย์ PAVA ซึ่งถูกใช้ในอังกฤษ ในอีกรูปแบบอื่นของ สเปรยพริก คือ pelargonic acid morpholide ได้ถูกพัฒนาและใช้อย่างแพร่หลายในรัสเซีย สำหรับประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับ สเปรยพริก จากธรรมชาติ
สเปรยพริก ในรูปแบบเดิมนิยมบรรจุในภาชนะโลหะ ซึ่งมีขนาดเล็กพอที่จะเก็บหรือซ่อนในกระเป๋าได้ สเปรยพริก ก็สามารถเก็บซ่อนได้
ประสิทธิภาพของสเปรย์พริก
สเปรย์พริก เป็นตัวทำให้เกิดการอักเสบ มันจะมีผลในทันที ตาจะปิดลง น้ำหูน้ำตาไหล หายใจลำบาก และไอ ระยะเวลาของผลที่ได้เกิดขึ้นกับความเข้มข้นของสเปรย์ แต่จะกินเวลาเฉลี่ย 30 นาที ถึง 45 นาที ในรายที่แพ้จะกินเวลานานเป็นชั่วโมง
The Journal of Investigative Ophthalmology and Visual Science ออกตีพิมพ์การศึกษาที่สรุปว่า OC ไม่มีอันตรายต่อดวงตา แต่ก็มีการเปิดเผยอีกว่าจะมีผลกระทบกับความไวแสงของแก้วตาในระยะเวลา แต่ไม่มีผลต่อความคมชัดในการมองเห็น
The European Parliament Scientific and Technological Options Assessment (STOA) ได้ตีพิมพ์ปี 1998 ใน “An Appraisal of Technologies of Political Control” ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นที่กว้างขวางใน สเปรย์พริก และแก๊สน้ำตา โดยเขียนไว้ว่า :
“ผลกระทบของ สเปรย์พริก นั้นค่อนข้างรุนแรง ประกอบด้วย ทำให้มองไม่เห็นเป็นเวลา 15 – 30 นาที เผาประสาทผิวหนังเป็นเวลา 45 – 60 นาที ทำให้คนนั้นโค้งไปข้างหน้าและไอไม่หยุด ทำให้ยากที่จะหายใจหรือพูดกินเวลา 3 – 15นาที”

สำหรับผู้เป็นโรคหอบหืด ควรหลีกเลี่ยงการทดสอบสเปรย์พริก หรือสัมผัสไม่ว่ากรณีใดๆ เนื่องจากจะก่อผล มากกว่าบุคคลทั่วไป

Deactivation and first aid (การระงับสารและปฐมพยาบาล)
แม้ว่าจะไม่มีวิธีที่ได้ผลที่สมบูรณ์แบบที่จะกำจัด สเปรย์พริก มันก็มีผลทำให้ลดความรุนแรงหรือหยุดไปเลย ผู้ชำนาญในการบริโภคพริกรู้ดีว่า Capsacinไม่ละลายน้ำและใช้น้ำปริมาณมากก็ล้างได้เพียงเล็กน้อยจนแทบไม่เกิดผล อย่างไรก็ตามพริกละลายในไขมันและน้ำมัน ดังนั้นนมและสารซักฟอกสามารถทำให้Capsacin ไม่มีผลให้แสบร้อนต่อไปและล้างออกได้ North American street medics (แพทย์ทั่วไปทางอเมริกาเหนือ)ใช้น้ำยาหยอดตา 1:1 น้ำต่อ aluminum hydroxide (Maalox) ซึ่งช่วยขจัดสเปรย์พริก และบรรเทาอาการ

ดังนั้น ผู้ที่ถูกฉีด สเปรย์พริก(เหยื่อ) จะต้องปฎิบัติดังนี้
1. กะพริบตาแรงๆเพื่อเรียกน้ำตาออกมา ซึ่งจะช่วยล้างสเปรย์ออกจากตา
2. ใช้ สบู่ เช่น น้ำยาล้างจานแบบอ่อนๆและ พัดลม จะใช้บรรเทาได้บ้าง
3. หากมี sodium metabisulfite (Campden tablets, ถูกใช้ในการต้มเหล้า) หรือ น้ำนม (แบบไม่พร่องมันเนย) ซึ่งเป็นสารที่ละลายในไขมันได้ จะสามารถล้างสเปรย์พริกออกได้เร็วขึ้น

คมชัดลึก : ด้วยข่าวการลักวิ่งชิงปล้นที่เกิดกับร้านสะดวกซื้อแทบทุกเมื่อเชื่อวัน ทำเอาสาวมินิมาร์ทต้องแสวงหาหนทางป้องกันตัว ที่เอาตัวไม่รอดตกเป็นเหยื่อก็หลายราย ที่ฮึดสู้จนคนร้ายเปิดเปิงไปก็มีให้เห็น อย่างเช่นรายล่าสุดใช้สเปรย์พริกไทยพ่นใส่หน้า จนลงไปดิ้นเฮือกๆ กับพื้นร้องทุรนทุรายอย่างน่าเวทนา !?!
วันที่ 10 สิงหาคม 2552 ภายในร้านสะดวกซื้อชื่อดังสาขาเจ้าพระยา 13 ปากซอยสมเด็จเจ้าพระยา 13 แขวงและเขตคลองสาน กรุงเทพฯ ฝั่งตรงข้ามสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา "หนึ่ง แซ่เฮ้ง" ผู้จัดการสาขาวัย 32 ปี กำลังนั่งทำบัญชีและนับเหรียญอยู่หลังเคาน์เตอร์ ปล่อยให้ "ดอกรัก ชาญณรงค์" ผู้ช่วยผู้จัดการสาขาทำหน้าที่พนักงานแคชเชียร์ ส่วนพนักงานชายอีกคนกำลังอยู่ในห้องเก็บของ จู่ๆ หนึ่งก็ได้ยินเสียงผู้ชายบอกให้ส่งเงินมาให้หมด เนื่องจากเธอหันหลังให้เคาน์เตอร์เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง กระทั่งได้ยินเสียงเลยหันกลับไปมอง
ภาพที่หนึ่งเห็นคือ ชายมีอายุคนหนึ่งยืนถือมีดปอกผลไม้ยาวราวๆ 6 นิ้ว เห็นจะได้ พยายามใช้มีดเคาะลงบนเคาน์เตอร์หลายครั้ง ปากก็ตะโกนออกคำสั่งให้ส่งเงินมาให้หมดเร็วๆ ท่ามกลางเหตุวิกฤติดอกรักยืนตะลึงงัน ส่วนหนึ่งเองก็พยายามตั้งสติรวบรวมสมาธิ กระทั่งนึกขึ้นได้ว่าใต้เคาน์เตอร์มีกระป๋องสเปรย์พริกไทยอยู่ รอโอกาสช่วงคนร้ายเผลอจึงหยิบขึ้นมาฉีดใส่หน้าเกือบหมดขวด !?!
สเปรย์พริกไทยที่เข้าหน้าเข้าตาชนิดเต็มๆ ทำเอาคนร้ายถึงกับทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส มีดที่ถืออยู่หลุดจากมือ ล้มตัวลงชักดิ้นชักงอ นั่นเปิดโอกาสให้สองสาวมินิมาร์ทวิ่งไปหลบหลังร้าน เป็นเวลาเดียวกับพนักงานชายกำลังจะออกมาด้านนอก ทั้งสองทั้งผลักทั้งดันให้เข้าไปในห้องเก็บของแล้วปิดล็อก ก่อนจะกดโทรศัพท์เรียก 191 แจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายให้ทราบ ระหว่างนี้ก็มองผ่านกระจกบานเล็กๆ ออกไปเห็นภาพคนร้ายนอนร้องครวญคราง สองมือปิดหน้าคร่ำครวญไม่หยุดปาก ส่วนมีดตกอยู่ไกลออกไป และนั่นคือโอกาสที่สองให้พนักงานทั้งสามคว้าไม้กวาด ม็อบถูพื้น ออกมาล้อมคนร้ายเอาไว้
สำหรับสเปรย์พริกไทยกระป๋องนี้ ผู้จัดการหนึ่งไปขอซื้อต่อจากตำรวจเมื่อ 4 ปีก่อนในราคา 800 บาท เป็นของที่ใช้สำหรับงานปราบจลาจล เนื่องจากมองว่าใช้ง่าย กลไกไม่สลับซับซ้อน ส่วนสาเหตุเกิดจากเมื่อไม่นานมานี้ ร้านสะดวกซื้อแบรนด์เดียวกับเธอสาขาปากซอยสมเด็จเจ้าพระยา 11 เคยถูกคนร้ายจี้ชิงทรัพย์มาแล้วสองครั้งสองครา ตำรวจยังตามจับคนร้ายมาดำเนินคดีไม่ได้ ในใจก็คิดว่าหากวันหนึ่งวันใดข้างหน้าตกอยู่ในสภาพถูกจี้ปล้นจะทำอย่างไร เพราะในร้านไม่มีอาวุธอื่นใดยกเว้นมีดหั่นไส้กรอกเพียงด้ามเดียว จะใช้มีดก็กลัวถูกแย่ง กลัวถูกแทง แถมยังผิดกฎหมายด้วย ครั้นจะซื้อเครื่องช็อตไฟฟ้าก็น่าจะผิดกฎหมายอีก คิดจะหาซื้อสัญญาณไซเรนเสียงดังมากๆ ก็ไม่มีขาย ท้ายที่สุดจึงมาลงตัวที่สเปรย์พริกไทย
"คุณว่าคุ้มไหมกับการถูกชิงทรัพย์แล้วไม่มีอะไรป้องกัน" หนึ่งตั้งคำถามขึ้นมาลอยๆ
อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยกับนักกฎหมายถึงกรณีลักษณะนี้ต่างให้ความเห็นไปในทำนองที่ว่า การกระทำผิดตามกฎหมายนั้น จะดูเจตนาเป็นสำคัญ กรณีนี้ก็เช่นกันหากเป็นไปเพื่อป้องกันตนเองด้วยเพียงพอแก่เหตุก็ไม่ถือว่ามีความผิด !?!
ฉะนั้นสาวสะดวกซื้อสบายใจได้ แต่ก็อย่าไปขวนขวายหาอาวุธหนักมาป้องกันตัว จนเพลี่ยงพล้ำเป็นเหยื่อโจรและกฎหมายเสียเล่า !?!